17/9/57

สัมมนา



สิ่งที่ได้จากการเข้าร่วมสัมมนา
ผู้บริหารยุคใหม่ เข้าใจ ทันภัย กฎหมายไอที




ตอบ สิ่งที่ได้รับจากการสัมมนา เรื่อง ผู้บริหารยุคใหม่ เข้าใจ ทันภัย กฎหมายไอที นอกจากจะได้ความเพลิดเพลินจากรุ่นพี่ปีสี่แล้ว ยังได้รู้ว่าความสามารถในการตอบคำถามของเราเป็นอย่างไร อีกทั้งยังได้รู้เรื่องเกี่ยวกับกฎหมายไอทีมากยิ่งขึ้น รู้ด้วยว่าก่อนหน้านี้เราเคยทำผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว และได้รู้จักปรับตัวในการใช้ สิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น


15/9/57

IPv6

   IPv6

IPv6 คือมาตรฐานการสื่อสารระหว่างประเทศ ใช้สำหรับรับส่งชุดข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ IPv6 header มี 128 บิต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดข้อมูลและยังรวมถึงแอดเดรสต้นทางและปลายทาง และบิตควบคุมอื่นๆ

แอดเดรส IPv6 แบบ 128 บิต จะแทนด้วยกลุ่มตัวเลขฐานสิบหก จำนวน 8 กลุ่ม ซึ่งคั่นด้วยเครื่องหมาย :
ตัวอย่างเช่น 2001:0db8:0000:0000:0000:0000:0000:0001 เนื่องจากความยาวของฟอร์แมตนี้ แอดเดรส IPv6 จึงสามารถย่อได้โดยตัดศูนย์ที่นำในกลุ่ม 16 บิต ตัวอย่างเช่น 2001:db8:0:0:0:0:0:1 จากนั้น ศูนย์กลุ่มที่อยู่เรียงกัน จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องหมาย :: ตัวอย่างเช่น 2001:db8::1 การกำหนดแอดเดรสอัตโนมัติของ IPv6

คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) และอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอื่นๆ อาจถูกกำหนดแอดเดรส IPv6 แบบไดนามิคโดยใช้วิธีการกำหนดค่าอัตโนมัติ แอดเดรส Media Access Control (MAC) แบบ 48 บิต ที่ต้องเชื่อมต่อ Ethernet ของอุปกรณ์เหล่านี้จะสามารถเก็บไว้ใน EUI-64 ตามที่อธิบายใน Guidelines for 64-bit Global Identifier (EUI-64) Registration Authority “จาก Institute of Electrical and Electronics Engineers (IEEE) ในการใช้ฟอร์แมต EUI-64 ตัวกำหนดอินเทอร์เฟส IPv6 แบบ 64 บิต อาจสร้างขึ้นได้ทั่วโลก นอกจากนี้ ตัวกำหนดอินเทอร์เฟสนี้ยังสามารถใช้การกำหนดเองได้ ตามแผนการกำหนดหมายเลขของโฮสต์เอง ตัวอย่างเช่น แอดเดรส MAC สำหรับ PC คือ 00:26:08:e7:b2:f6 แอดเดรส IPv6 ที่กำหนดให้ PC โดยใช้ฟอร์แมต EUI-64 คือ 2001:db8::0226:08ff:fee7:b2f6

บิตที่สำคัญน้อยที่สุดเป็นอันดับสองของไบต์ที่สำคัญที่สุดของแอดเดรส หรือที่เรียกว่า Universal/Local จะเป็นตัวกำหนดการจัดการแอดเดรส IPv6 แอดเดรสจะถูกจัดการอย่างสากลหากบิตเป็น 0 และจะจัดการเฉพาะจุด หากบิตเป็น 1 ตัวอย่างเช่น ตัวเลขฐานสิบหก 0 = 00000000 (ตัวเลขฐานสอง) ตัวเลขฐานสิบหก 2 = 00000010 (ตัวเลขฐานสอง)
ข้อดีและข้อเสียของ IPv6 IPv6 ไม่ได้เป็นเพียงการขยายพื้นที่ไอพีแอดเดรส แต่ยังเป็นอินเทอร์เน็ตโพรโทคอลใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงและขยายจาก IPv4 ข้อดีที่สำคัญที่สุดของรูปแบบอินเทอร์เน็ตแอดเดรสใหม่นี้คือมีพื้นที่แอดเดรสจำนวนมาก จึงทำให้มีไอพีแอดเดรสจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน

ระบบ IPv6 ที่ใช้แอดเดรส 128 บิต สามารถรองรับแอดเดรสได้ถึง 2^128 (340,282,366,920,938,463,463,374,607,431,768,211,456) ซึ่งมากกว่าแอดเดรส 32 บิตจากระบบ IPv4 ปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 4,300 ล้านแอดเดรส อยู่ถึง 79 ล้านล้านเท่า

ดังนั้น ประโยชน์อีกประการของ IPv6 คือสามารถขยายแอพพลิเคชั่นส์และบริการใหม่สำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ได้ทั่วโลก โดยสามารถเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียระหว่าง IPv6 และ IPv4 ได้ตามรายละเอียดในตาราง 1


12/9/57

Wifi Standard



Wifi Standard


IEEE 802.11a  ความเร็วในการส่งข้อมูลให้วิ่งได้สูงถึง 54 Mbps บนความถี่ 5Ghz ซึ่งจะมีคลื่นรบกวนน้อยกว่าความถี่ 2.4 Ghz ที่มาตรฐานอื่นใช้กัน ที่ความเร็วนี้สามารถทำการแพร่ภาพและข่าวสารที่ต้องการความละเอียดสูงได้ อัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสามารถปรับระดับให้ช้าลงได้ เพื่อเพิ่มระยะทางการเชื่อมต่อให้มากขึ้น แต่ว่าข้อเสียก็คือ ความถี่ 5 Ghz นั้น หลายๆประเทศไม่อนุญาตให้ใช้ เช่นประเทศไทย เพราะได้จัดสรรให้อุปกรณ์ประเภทอื่นไปแล้ว และเนื่องด้วยการที่มาตรฐานนี้ ใช้การเชื่อมต่อที่ความถี่สูงๆ ทำให้มาตรฐานนี้ มีระยะการรับส่งที่ค่อนข้างใกล้ คือ ประมาณ 35 เมตร ในโครงสร้างปิด(เช่น ในตึก ในอาคาร) และ 120 เมตรในที่โล่งแจ้งและด้วยความที่ส่งข้อมูลด้วยความถี่สูงนี้ ทำให้การส่งข้อมูลนั้นไม่สามารถทะลุทะลวงโครงสร้างของตึกได้มากนัก

IEEE 802.11b  ความเร็วสูงสุดที่ 11 Mbps ผ่านคลื่นวิทยุความถี่ 2.4 GHz เนื่องจากการใช้คลื่นความถี่ที่ต่ำกว่าอุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน IEEE 802.11a ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้มาตรฐานนี้จะมีความสามารถในการส่งคลื่นสัญญาณไปได้ไกลกว่าคือประมาณ 38 เมตรในโครงสร้างปิดและ 140 เมตรในที่โล่งแจ้ง

IEEE 802.11g  ความถี่ 2.4 Ghz จึงทำให้ใช้ความเร็ว 36-54 Mbps ซึ่งเป็นความเร็วที่สูงกว่ามาตรฐาน 802.11b ซึ่ง 802.11g สามารถปรับระดับความเร็วในการสื่อสารลงเหลือ 2 Mbps ได้ตามสภาพแวดล้อมของเครือข่ายที่ใช้งาน มาตรฐานนี้เป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้เป็นจำนวนมากและกำลังจะเข้ามาแทนที่ 802.11b ในอนาคตอันใกล้

IEEE 802.11n  ความเร็วสูงสุดถึง 300 Mbps มีความสามารถในการส่งคลื่นสัญญาณ ได้ระยะประมาณ 70 เมตรในโครงสร้างปิด และ 250 เมตรในที่โล่งแจ้ง เพิ่มความสามารถในการกันสัญญาณกวนจากอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ความถี่ 2.4GHz เหมือนกัน และสามารถรองรับอุปกรณ์มาตรฐาน IEEE 802.11b และ IEEE 802.11g ได้

26/8/57

Exercise 6

แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6



[1.] คุณสมบัติของข้อมูลที่ดีประกอบด้วยอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ  1.) ต้องมีความถูกต้อง สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
           2.) ต้องมีความเป็นปัจจุบัน ข้อมูลจำเป็นต้องมีการปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันเสมอ
           3.) ต้องตรงตามความต้องการ สำรวจข้อมูลที่จะนำไปใช้ให้สอดคล้องตรงกันกับความต้องการ
           4.) สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ ข้อมูลที่หาได้อาจจะมาจากหลายๆที่ ซึ้งอาจมีทั้งข้อมูลที่เชื่อได้และไม่ได้

 


[2.] ในแง่ของการจัดการข้อมูลนั้น ข้อมูลมีโอกาสซ้ำกันได้หรือไม่ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร
ตอบ มีโอกาสที่จะซ้ำกันได้ วิธีแกไขคือจะแก้ไขโดยการนำเอาแฟ้มข้อมูลหลายๆแฟ้ม มาจัดเก็บไว้ให้อยู่ในที่เดียวกัน





[3.] เหตุใดจึงต้องนำเอาหลักฐานข้อมูลมาใช้ในการทำงาน จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ
ตอบ ฐานข้อมูลเกิดจาการรวบเอาแฟ้มข้อมูลหลายๆแฟ้ม ที่มีความสัมพันธ์กันนั้นมาเก็บรวมไว้ที่เดียวกัน เช่น ฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลของนักเรียนนักศึกษา





[4.] DBMS มีประโยชน์อย่างไรต่อการใช้ข้อมูล
ตอบ DBMS เป็นเหมือนผู้จัดการฐานข้อมูลที่จะดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ [User]





[5.] ความสามารถโดยทั่วไปของ DBMS มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ

-     สร้างข้อมูล ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบฐานข้อมูล
-     เพิ่ม เปลี่ยนแปลง แก้ไข และลบข้อมูล อีกทั้งยังสามารถ เพิ่มข้อมูล หรือ ลบข้อมูล ได้ตลอดเวลา
-     จัดเรียงและคนหาข้อมูล โดยสามารถเตรียมข้อมูลและเลือกข้อมูลได้ว่าจะให้ DBMS จัดเรียงแบบไหน อย่างไร

-     สร้างรูปแบบและรายงาน การค้นหา เรียกดูข้อมูลต่างๆ ยังสามารถสร้างรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอ และพิมพ์ผลลัพธ์รายการออกมาเป็นรายงานได้

23/8/57

OS Windows 7



เทคนิคการทำงานของระบบปฏิบัติการ

Windows 7 ในลักษณะ Tips And Techniquse






        เครื่องคิดเลข ไม่ใช่แค่การคิดเลขธรรมดาอีกต่อไป


เครื่องคิดเลขใน Windows 7


เครื่องคิดเลข มีคุณลักษณะแบบไดนามิกใหม่ๆ หลายอย่าง คลิกที่เมนู มุมมอง เพื่อดู การแปลงหน่วยจะแปลงองศาเซลเซียสให้เป็นฟาเรนไฮต์ กิโลเมตรเป็นไมล์ เมตรเป็นฟุต กรัมเป็นออนซ์ จูลเป็น BTU และอื่นๆ คุณสามารถใช้แผ่นงานการคำนวณแบบใหม่เพื่อคำนวณตัวเลขที่ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างอัตราการประหยัดน้ำมันและการชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ได้อย่างรวดเร็ว โหมด "โปรแกรมเมอร์" และ "สถิติ" ช่วยรับมือกับการคำนวณที่ซับซ้อนขึ้นได้





        ส่งข้อมูลไปยังฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิค



ตัวบันทึกขั้นตอนปัญหาใน Windows 7



       ครั้งต่อไปเมื่อคุณจำเป็นต้องอธิบายปัญหาคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนให้กับเพื่อนหรือฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิค ลองใช้ตัวบันทึกขั้นตอนปัญหา คุณสามารถบันทึกภาพหน้าจอ เพิ่มหมายเหตุ และส่งอีเมลข้อมูลเหล่านั้นไปให้ผู้ที่จะช่วยเหลือคุณได้โดยตรง สำหรับเคล็ดลับเกี่ยวกับการใช้ตัวบันทึกขั้นตอนปัญหา

ขอขอบคุณ CR. http://windows.microsoft.com/th-th/windows7/11-tips-for-windows-7





23/7/57

Cloud Computing


Cloud Computing คืออะไร?

Cloud Computing (คลาวด์คอมพิวติ้ง)ก็คือ แนวคิดการใช้งานทางด้านไอทีที่ใช้วิธีดึงพลังและสมรรถนะจากคอมพิวเตอร์หลาย ๆ ตัวจากต่างสถานที่ให้มาทำงานสอดประสานกันเพื่อช่วยขับเคลื่อนการบริการทางด้านไอที

ยกตัวอย่างเช่น นาย A เป็นเจ้าของเว็บไซต์ที่มีคนเข้าวันละประมาณ 100,000 คน Server ที่เก็บเว็บไซต์ของนาย A ก็รองรับได้สูงสุดที่ 100,000 คนต่อวัน ไม่มีปัญหาอะไร
แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งเว็บไซต์ของนาย A เกิดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มีคนเข้ามากกว่า 100,000 คนต่อวัน ก็ทำให้เกินกำลังของ server ทำให้เว็บไซต์ล่มใช้งานไม่ได้

แต่ถ้านาย A ใช้ระบบ Cloud Computing โดยคอมพิวเตอร์ Server กลุ่มนี้มีสักสิบเครื่อง เครื่องหนึ่งรองรับคนได้ 100,000 คนต่อวัน ระบบทั้งหมดก็จะรองรับคนเข้าเว็บไซต์ได้สูงถึง 1,000,000 คนต่อวัน





Cloud computing เป็น  "Anywhere! Anytime!"  คือทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหนก็ตาม ขอแค่มี Internet  กับ Computer สักตัว คุณก็ทำงานได้แบบ 24/7 (24 ชั่วโมง 7)

โดยในปัจจุบัน องค์กรสามารถใช้ Cloud Technology หรือ Cloud Computing ได้ 2-3 รูปแบบ (SaaS, IaaS, PaaS) อธิบายแบบง่ายๆ คือ


รูปแบบที่ 1 (Software as a Service, SaaS): จากรูปด้านล่างผู้ใช้สามารถเข้าถึงแอพพลิเคชั่นและข้อมูลองค์กรได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยผู้ใช้สามารถเรียกใช้ Business Software บน Cloud Technologyได้ทันที เช่น ใช้ Email Application, ระบบ File Sharing/Content Management, ระบบ CRM Application สำหรับ Sales และ Customer Support เป็นต้น โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่า Application นี้ทำงานอยู่ที่ไหน เก็บข้อมูลอย่างไร ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานได้ตลอด ทุกที่ ทุกเวลา ที่สามารถเข้าถึง Internet ได้



รูปแบบที่ 2 (Infrastructure as a Service, IaaS): สะดวก ยืดหยุ่น และ ง่ายต่อการบริหารทรัพยากร IT ผู้ใช้สามารถเรียกใช้ Virtual Server/ Virtual Machine บน Cloud Technology ได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเครื่อง Server ที่มี 4 CPUs, 32GB Memory, 10TB Storage สามารถเรียกขึ้นมาใช้ได้ทันที จาก Cloud Technology เช่นเดียวกันกับรูปแบบที่ 1 ที่ผู้ใช้ไม่ต้องสนใจเลยว่า Virtual Server หรือ Virtual PC/Desktop ที่ได้มานั้น ตั้งอยู่ที่ไหนมาได้อย่างไร สามารถเรียกใช้หรือคืนได้ทันทีเมื่อใช้เสร็จ



Cloud Technology รูปแบบที่ 3 (Platform as a Service, PaaS): เป็นรูปแบบที่กำลังจะมีความสำคัญมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ของเพื่อให้ นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่อาศัยคุณสมบัติข้อดีของCloud ได้อย่างดีเยี่ยม รูปแบบนี้ อาจจะอธิบายได้ยากและซับซ้อนมากขึ้นกว่า 2 รูปแบบแรก ซึ่งผู้ใช้ Cloud ในรูปแบบนี้จะเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) ที่ต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานบน Cloud และให้ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นนั้นใช้คุณสมบัติต่างๆของ Cloud ที่จะไม่สามารถหาได้จากสภาวะปกติ (Non-cloud computing) เช่น ความสามารถในการขยาย Computing Resource (CPU/Memory) เมื่อต้องใช้ประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก หรือ หดComputing Resource เมื่อใช้ประมวลผลข้อมูลจำนวนไม่มาก เป็นต้น โดยเป็นรูปแบบการใช้ Cloud Technology ที่กำลังจะเป็นที่นิยมมากขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ ไม่น่าเกินปี 2015


ประโยชน์ของ Cloud Computing มีดังนี้

1. ประหยัดการลงทุนเรื่องทรัพยากรคอมพิวเตอร์ เพราะเปลี่ยนมาเป็นการเช่าระบบแทน ซึ่งทำให้บริษัทที่มีเงินลงทุนจำกัดสามารถมีระบบสารสนเทศที่ดีใช้ได้เท่า เทียมกับบริษัทอื่นๆ

2. สามารถสร้างระบบใหม่ขึ้นมาใช้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เพราะว่าผู้ให้บริการจะจัดเตรียมทรัพยากรขนาดใหญ่ไว้รองรับผู้ใช้บริการอยู่ แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องมีระยะเวลาการ ออกแบบระบบ สั่งซื้อฮาร์แวร์ และติดตั้งฮาร์ดแวร์ ซึ่งแค่นี้ก็ลดระยะเวลาดำเนินการไปเป็นเดือนเลยทีเดียว

3. เพิ่มขนาดทรัพยากรได้ง่ายดายและรวดเร็ว ในกรณีที่ระบบของผู้ใช้บริการมีขนาดใหญ่ขึ้นก็ย่อมต้องขยายทรัพยากรให้เพิ่ม ขึ้นตามการใช้งาน ซึ่งระบบที่เป็นของบริษัทเองคงต้องทำการออกแบบและสั่งซื้อและติดตั้งกัน วุ่นวายเสียเวลา ด้วยการใช้บริการ Cloud computing ก็ทำให้การเพิ่มขนาดทรัพยากรนั้นง่ายและรวดเร็วภายในข้ามคืนเท่านั้น

4. ขจัดปัญหาเรื่องการดูแลระบบทรัพยากรสารสนเทศ ออกไปให้ผู้ให้บริการ Cloud computing ดูแลแทน จึงทำให้ลดทั้งความยุ่งยากของการดูแลและลดจำนวนบุคลากรที่ต้องจ้างมาเพื่อ ดูแลระบบอีกด้วย

 เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Cloud Computing มีอะไรบ้าง

-          Agility ผู้ใช้จะรู้สึกเหมือนทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว

-          Cost ช่วยลดค่าใช้จ่ายในองค์กร

-          Device and location independence ทุกที่ทุกเวลา ขอแค่คอมพิวเตอร์ กับ Internet Connection

-          Multi-tenancy สามารถแบ่างทรัพยากรไปให้ผู้ใช้จำนวนมาก

-          Reliability ความน่าเชื่อถือ มีความพร้อมสำหรับการรับมือกับภัยคุกคามข้อมูลต่างๆมากแค่ไหน

-          Scalability พร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนไปตามความต้องการ ... ความต้องการของผู้ใช้ และเตรียมรองรับเทคโนโลยีหลายๆรูปแบบ

-          Security สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ และยิ่งใน Cloud Computing แล้วข้อมูลอรวมอยู่ที่เดียวกัน ก็ยิ่งต้องเพิ่มความปลอดภัยให่มากยิ่งขึ้น

-          Sustainability โครงสร้างที่แข็งแรงต้องอาศัยความแข็งจากทุกส่วนรวมกัน


      ขอขอบคุณข้อมูลจาก


Prefix



หน่วยความจุ หน่วยความจำ หน่วยความเร็วของคอมพิวเตอร์

บิต (Bit) Binary Digit เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดของข้อมูลที่ใช้อยู่ในคอมพิวเตอร์
ไบต์ (Byte) ตัวเลขจำนวน 8 บิต จะรวมกันเข้าเป็น 1 ไบต์
กิโลไบต์ (Kilobyte) ใช้ย่อว่า KB โดย 1 KB มีค่าเท่ากับ 1,024 ไบต์
เมกะไบต์ (Megabyte) ใช้ย่อว่า MB โดย 1 MB มีค่าเท่ากับ 1,048,576 หรือ (1,024 x 1,024 ) มักใช้ในการวัดหน่วยความจำหลัก (RAM)
กิกะไบต์ (Gigabyte)  ใช้ย่อว่า GB โดย 1 GB มีค่าเท่ากับ 1,073,741,824 หรือ (1,024  x 1,024 x 1,024)
เทราไบต์ (Terabyte) ใช้ย่อว่า TB โดย 1 เทราไบต์จะเท่ากับ 1,099,511,627,776 หรือ (1024 x 1024 x 1024 x 1024) บิต (Bit) Bin


Bit
Single Binary Digit (1 or 0)
Byte
8 bits
Kilobyte (KB)
1,024 Bytes
Megabyte (MB)
1,024 Kilobytes
Gigabyte (GB)
1,024 Megabytes
Terabyte (TB)
1,024 Gigabytes
Petabyte (PB)
1,024 Terabytes
Exabyte (EB)
1,024 Petabytes


มิลลิเซกันด์ (Millisecond) หรือ 1 ส่วนพันวินาที ใช้วัดเวลาเฉลี่ยในการเข้าถึงข้อมูลของฮาร์ดดิสก์(Access Time) เวลา 

ไมโครเซกันด์ (Microsecond) หรือ 1 ส่วนล้านวินาที               
นาโนเซกันด์ (Nanosecond) หรือ 1 ส่วนพันล้านวินาที ใช้วัดความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลใน
หน่วยความจำหลัก

พิโคเซกันด์ (Picosecond) หรือ 1 ส่วนล้านล้านวินาที มักใช้วัดรอบการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงมาก ๆ
ความเร็ว
เฮิรตซ์ (Hz : Hertz) หรือ รอบต่อวินาที มักใช้ในการวัดรอบการทำงานของนาฬิกาของ Processorหรือความเร็วของ Bus               

มิปส์ (MIPS : Millions of Instructions Per Second) มักใช้วัดความเร็วในการประมวลผลเครื่องคอมพิวเตอร์  (คำสั่งต่อวินาที)